หลังจากที่มีกระแสเรียกร้องให้มีการยกเลิกการประกาศกฎอัยการศึกกันมา อย่างยาวนาน ในที่สุด พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ในฐานะนายกรัฐมนตรี ก็ทูลเกล้าฯ ขอให้ทรงมีพระราชดำริให้ยกเลิกการประกาศใช้กฎอัยการศึก เมื่อวันที่ 20 พ.ค และ 22 พ.ค.2557 ตามลำดับ เมื่อวันที่ 1 เม.ย.ที่ผ่านมา
แล้ว ก็เป็นไปตามคาด หลังจากที่มีประกาศ “เลิกใช้กฎอัยการศึก” ก็มีการประกาศใช้คำสั่งหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) ฉบับที่ 3/2558 เรื่อง การรักษาความสงบเรียบร้อยและความมั่นคงของชาติ หรือเป็นคำสั่งที่ออกมาโดยอาศัยอำนาจตามมาตรา 44 ของรัฐธรรมนูญ (ฉบับชั่วคราว) 2557 ในทันที
ทั้งนี้ เป็นที่ทราบกันดีว่า การมีมาตรา 44 ไว้ในรัฐธรรมนูญ (ฉบับชั่วคราว) ก็เปรียบเสมือนการตี “เช็คเปล่า” ไว้ให้หัวหน้า คสช. สามารถเขียนตัวเลข หรือ “อำนาจ” อย่างไรไว้ก็ได้ โดยมาตรา 44 ระบุว่า…

พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา
“ในกรณีที่หัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติเห็นเป็นการจำเป็นเพื่อ ประโยชน์ในการปฏิรูปในด้านต่างๆ การส่งเสริมความสามัคคีและความสมานฉันท์ของประชาชนในชาติ หรือเพื่อป้องกัน ระงับ หรือปราบปรามการกระทำอันเป็นการบ่อนทำลายความสงบเรียบร้อยหรือความมั่นคงของ ชาติ ราชบัลลังก์ เศรษฐกิจของประเทศ หรือราชการแผ่นดิน ไม่ว่าจะเกิดขึ้นภายในหรือภายนอกราชอาณาจักร ให้หัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติโดยความเห็นชอบของคณะรักษาความสงบแห่ง ชาติมีอำนาจสั่งการระงับยับยั้ง หรือกระทำการใดๆ ได้ ไม่ว่าการกระทำนั้นจะมีผลบังคับในทางนิติบัญญัติ ในทางบริหาร หรือในทางตุลาการ และให้ถือว่าคำสั่งหรือการกระทำ รวมทั้งการปฏิบัติตามคำสั่งดังกล่าว เป็นคำสั่งหรือการกระทำ หรือการปฏิบัติที่ชอบด้วยกฎหมายและรัฐธรรมนูญนี้และเป็นที่สุด ทั้งนี้ เมื่อได้ดำเนินการดังกล่าวแล้ว ให้รายงานประธานสภานิติบัญญัติแห่งชาติและนายกรัฐมนตรีทราบโดยเร็ว”
อย่างไรก็ตาม เมื่อพิจารณาดูเนื้อหาของประกาศฉบับที่ 3 ดังกล่าว ก็จะพบว่า เป็นการนำเนื้อหาในพระราชบัญญัติกฎอัยการศึกมาเขียนไว้ใหม่ โดยกำหนดฐานความผิด อำนาจของเจ้าหน้าที่ บทลงโทษและเงื่อนไขการใช้อำนาจอื่นๆ ให้มีความชัดเจนมากขึ้น

พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา
โดยสิ่งที่เหมือนกันระหว่างประกาศใช้กฎอัยการศึกกับประกาศฉบับที่ 3 คือ การที่เจ้าหน้าที่ทหาร จะมีอำนาจเหนือข้าราชการพลเรือน หรือเรียกง่ายๆว่า “ทหารเป็นใหญ่” แบบไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลง ขณะที่อำนาจของเจ้าหน้าที่ทหารได้มีการเขียนไว้มีความชัดเจนมากขึ้น เช่น อำนาจในการเรียกบุคคลมารายงานตัว การจับกุมบุคคลที่กระทำความผิดซึ่งหน้า การเข้าตรวจค้นในเคหสถานหรือยานพาหนะของประชาชนที่สงสัยว่าจะมีการกระทำความ ผิดตามที่ระบุไว้ รวมทั้งอำนาจในการยึดอายัดทรัพย์สินต่างๆ
“กฎหมาย สนุก สนุก” เขียนโดย “วิชา มหาคุณ” ที่ตั้งเป้าหมายให้การรู้กฎหมายเป็นกำไรของชีวิต ที่ผู้อ่านจะได้ทั้งความคิดและความสนุก จำหน่ายเล่มละ 100 บาท โดยผู้เขียนได้นำเอา ตัวบทกฎหมายที่ซับซ้อน ยากแก่การเข้าใจ มาให้ผู้ที่ไม่มีความรู้ด้านกฎหมายศึกษาเป็นตัวอย่างอย่างง่ายๆ โดยมีตัวละครช่วยดำเนินเรื่อง จากคดีความที่เกิดขึ้นจริงในสังคม ผ่านการใช้ภาษาที่เข้าใจง่าย สไตล์การเขียนที่สนุกสนาน แปลเรื่องยากๆ ให้เห็นภาพอย่างง่ายๆ ทำให้การอ่านหนังสือกฎหมายน่าสนุกขึ้นและไม่ใช่เรื่องน่าเบื่ออีกต่อไป อีกทั้งเรื่องราวต่างๆ ที่หยิบยกมาเป็นเรื่องใกล้ตัว สอดแทรกข้อคิดที่เป็นเหตุและผล ว่าเรื่องที่เกิดขึ้นนั้นมีแง่มุมหรือประเด็นทางกฎหมายประการใดบ้าง มีทั้งหมด 43 คดี ที่เจตนา ไม่เจตนา เกิดจากความรู้เท่าไม่ถึงการณ์ และอาจเป็นเรื่องตลก(ร้าย)ในชีวิตของใครหลายคน
ขอบคุณที่มา : http://www.thairath.co.th/content/491097
You made some good points there. I checked on the internet to find out more about the issue and found
most people will go along with your views on this website.